วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สมุนไพรกระชายดำ

กระชายดำ

สรรพคุณ
บำรุงฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ชายเหนือชายกระตุ้นประสาททำให้กระชุ่มกระชวยบำรุงกำลังเป็นยาอายุวัฒนะ ชลอความแก่ ขับลม ขับปัสสาวะ โรคกระ
เพาะอาหารแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา บำรุงเลือดสตรี
แก้ตกขาว ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

ข้อมูลทั่วไป
กระชายดำมีลักษณะหัว กลิ่น รสชาด ไม่เหมือนกับกระชายเหลือง คือกระชายดำจะมีกลิ่นฉุน
และแรงกว่า จึงเหมาะจะใช้ทำเป็นยาสมุนไพรมากกว่าทำอาหารครับ.

กระชาย มี 3 ชนิด คือ
1.กระชายเหลืองหรือกระชายขาว 2.กระชายแดง 3.กระชายดำ
กระชายเหลืองและกระชายแดงนิยมใช้เป็นเครื่องเทศปรุงอาหาร ส่วนกระชายดำใช้เป็นสมุนไพรเมื่อผ่าเหง้าหัวออกดูจะมีสีม่วงคล้ำ  มีกลิ่นคล้ายกระชายทั่วไป(แต่ฉุนกว่า)ลักษณะใบและลำต้นเหมือนกระชายเหลืองและกระชายแดง แต่ขอบใบและก้านใบอาจมีสีม่วงแกมเล็กน้อย เดิมชาวเขาเผ่าม้งนำกระชายดำเข้ามาปลูกในอำเภอด่านซ้ายและอำเภอนาแห้ว เพื่อใช้เป็นสมุนไพรประจำบ้าน ต่อมามีการขยายพันธุ์ออกไปเรื่อยๆจนมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มมากขึ้น "กระชายดำ" มีสรรพคุณทางยาดังนี้ คือ รากเหง้า เป็นยาขับปัสสาวะ, ขับลม, แก้บิด, แก้ท้องอืดเฟ้อ, แก้โรคกระเพาะอาหาร โดยใช้รากเหง้าดองกับสุราขาว หรือนำไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ผสมน้ำสุกรับประทาน หรือผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนขนาดประมาณเม็ดพุทรารับประทานทุกวันเป็นยาอายุวัฒนะ, กระตุ้นประสาททำให้กระชุ่มกระชวย และเป็นยาบำรุงกำลัง

ข้อมูลทางวิชาการ
ชื่อพื้นเมือง : กระชายดำ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Boesenbergia pandurata (Roxb.)
ชื่อวงศ์ : ZINGIBERACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นพืชล้มลุกมีเหง้าใต้ดิน รากสะสมอาหารมีลักษณะเป็นปุ่ม ๆ ไม่ยาวเป็นหางไหลเหมือนกับกระชาย ธรรมดา ขณะต้นเล็ก จะมีแต่รากและรากนั้นเองจะเปลี่ยนเป็นหัวเมื่อโตขึ้น เนื้อในหัวอาจเป็นสีม่วงหม่นหรือสีดำดังผลลูกหว้า แต่ถือกันว่ากระชายดำที่
มีคุณสมบัติที่ดีต้องสีดำสนิท ใบ เป็นใบเดี่ยวเรียงสลับคล้ายกระชายธรรมดา แต่มีใบใหญ่และเขียวเข้มกว่าผลิแทงม้วนเป็นกรวยขึ้นมาจากราก ไม่มีต้น ดอก จะออกดอกจากยอดของต้น ช่อละหนึ่งดอก มีใบเลี้ยงที่ช่อดอก ริมปากดอกสีขาว เส้นเกสรสีม่วง และเกสรมีสีเหลือง
 
การขยายพันธุ์ : ใช้วิธีการแบ่งเหง้า และโดยการใช้หัวหรือเหง้าปลูก
ฤดูกาลขยายพันธุ์ : ทำได้ทั้งปี ชอบที่ร่ม ดินร่วนซุยหรือดินปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี
การปลูก: ปลูกเป็นแถว ระยะระหว่างแถว ประมาณ 50 - 60 ซม.
ระยะระหว่างต้นประมาณ 30 ซม. รดน้ำพอชุ่มอย่าให้แฉะ หากปลูกในที่โล่งแจ้งควรหาสะแลน หรือหาวัสดุมุงเนื่องจาก กระชายดำ
จะขึ้นได้ดีในที่ร่มแดดรำไร ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นก็ได้ การใส่ปุ๋ยให้ห่างจากรากเหง้า
พอควร ระยะเวลานับจากปลูกถึงเก็บเกี่ยว : 8 - 9 เดือน 

  

 โทรปรึกษาสอบถามข้อมูล    0899371691

ว่านชักมดลูก

ยกเครื่องเรื่องผู้หญิง ว่านชักมดลูก
   
มารู้จักว่านชักมดลูกกันเถอะ
ว่านชักมดลูกมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma Zanthorrhiza Roxb. เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE ซึ่งเป็นพืชตระกูลขิง โดยมีชื่อพื้นเมือง ที่เราเรียกกันจนคุ้นเคยติดปากว่าว่านทรหดสำหรับชื่ออื่นๆ ที่ใช้เรียกกันตามท้องที่ต่าง ๆ ได้แก่ ว่านพระยาหัวศึก” “ว่านการบูรเลือดว่านชักมดลูก เป็นไม้ล้มลุกจำพวกเหง้าใต้ดิน อยู่ในวงศ์ขิง ข่า สูงได้ถึง 2 เมตร ใบมีลักษณะเป็นพืช ใบเดี่ยวเหมือนขมิ้น แต่มีความใหญ่โตผิดกว่ากันหลายเท่าเรียงกันเป็นกระจุก อยู่ใกล้ราก รูปขอบใบขนานแกมวงรี กว้าง 15-21 เซนติเมตร ยาว 40-90 เซนติเมตร โดยร่องกลางใบมีลักษณะเป็นทาง สีดำแดง หรือสีน้ำตาลหม่นปนแดง ผิวด้านนอกมีสีส้มอ่อน เนื้อในหัวมีสีขาวเหลือง, สีส้ม, หรือส้มแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ปลูก โดยหัวว่านชักมดลูกนั้นมีกลิ่นฉุนร้อน และรสต่างกันเป็น 5 รสว่านชักมดลูกยังเป็นไม้ที่เจริญงอกงาม ได้ดีในฤดูฝน แต่เมื่อเข้าหน้าหนาวต้นจะโทรมและทิ้งใบเกลี้ยง เหลือแต่หัวที่ฝังอยู่ในดิน ซึ่งต้องรีบขุดมาใช้ มิฉะนั้นสรรพคุณ ทางยาจะเสื่อมคุณภาพลง ว่านชักมดลูกมีกี่ประเภท? ว่านชักมดลูกที่เรารู้จักกันมีอยู่ 2 ประเภท ซึ่งอาจแบ่งได้ตามสายพันธุ์ ดังนี้ คือ
ว่านชักมดลูก (ตัวผู้) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma Zanthorrhiza Roxb.
ว่านชักมดลูก (ตัวเมีย) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma Comosa Roxb.ว่านชักมดลูกทั้ง 2 สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะ ภายนอกที่คล้ายคลึงกัน แต่ส่วนใหญ่มักนิยมว่านชักมดลูกตัวผู้มาเข้าในตำรับยามากกว่าตัวเมีย เพราะสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ซึ่งมีสรรพคุณในทางยามีมากกว่านั้นเอง
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
จากผลการวิจัยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ทางยาของว่านชักมดลูกจากสถาบันต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องพบว่า ใน ว่านชักมดลูกมีสารออกฤทธิ์ที่สามารถลดการอักเสบ ยับยั้งเนื้องอก ยับยั้งการสังเคราะห์กรดไขมันลดปริมาณ ไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอลในเลือดที่มีปริมาณสูง ยับยั้งเบาหวานและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ ลดการซึมผ่านของหลอดเลือด แก้ปวด รักษาแผล ปรับ อุณหภูมิในร่างกายให้สมดุล ลดพฤติกรรมธรรมชาติของสัตว์ทดลอง เพิ่มฤทธิ์บาร์บิตูเรต ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์เป็นพิษต่อเซลล์ ยับยั้งการเป็นพิษต่อตับ กระตุ้นการผลิต น้ำดี ลดเวลาการหลับของบาร์บิตูเรต ยับยั้งเอนไซม์ GPT, GOT, alkaline phosphatase, adenine nucleotide translocass (HIV) ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านไวรัส ต้านเชื้อรา กระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์น้ำเหลือง เพิ่มน้ำหนักมดลูกและปริมาณไกลโคเจน มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนฆ่าแมลง และ ลดการสร้างเม็ดสีผิวได้ ซึ่งสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ในทางยาที่มีอยู่ใน ว่านชักมดลูกจริง ๆ แล้วมีมากมายหลายกลุ่มหนึ่งในนั้นก็คือ เคอร์คิวมิน เป็นสารที่สกัดได้จากขมิ้น ซึ่งให้ประโยชน์หลายประการ แต่ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของกระเพาะอาหาร ผลสรุปทางการวิจัย ยังพบอีกว่า ว่านชักมดลูกมีผลคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ ฮอร์โมนที่มีในเพศหญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเข้าใจก่อนว่าตัวของว่านชักมดลูกเอง ไม่ใช่ฮอร์โมน แต่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์เพิ่มการขับน้ำดีและสามารถป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ สรรพคุณว่านชักมดลูกของไทย ตามบันทึกในตำรับยาแผนโบราณได้กล่าวไว้ว่าว่านชักมดลูกมีคุณประโยชน์และให้ความปลอดภัยในการใช้สำหรับผู้หญิงมาก เพราะว่านชักมดลูกมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ เสริมหน้าอก ทำให้ผิวพรรณขาวนวล ลบรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ ว่านชักมดลูกมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่า กราวเครือคือ ช่วยรักษามดลูกที่ทรุดตัว หรือเรียกว่ามดลูกต่ำให้เข้าที่ นอกจากนี้ยังช่วยกระชับช่องคลอด กระชับหน้าท้องที่หย่อนยานอันเกิดจากการคลอดบุตร ทำให้หน้าท้องตึงเรียบเหมือนสาว ๆ และยังช่วยให้ผู้หญิงที่อารมณ์ทางเพศหายไป กลับมามีเหมือนเดิมว่านชักมดลูกยังช่วยให้ผู้หญิงที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว จิตใจห่อเหี่ยว อ่อนไหวง่าย โกรธง่ายหายไป ทำให้คึกคักเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันมะเร็งปากช่องคลอด หรือภายในมดลูก ช่วยรักษาซีสต์ และเนื้องอกภายในช่องคลอดให้ฝ่อตัว หรือเล็กลงด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือนอย่างได้ผลชะงัก เพราะฉะนั้นหากจะเทียบกันแล้ว ว่านชักมดลูกจึงมีประโยชน์เหนือกว่ากราวเครือมาก แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า การใช้ว่านชักมดลูกเพียงอย่างเดียวจะให้สรรพคุณได้ไม่มากเท่าที่ควร ตามตำรายาโบราณได้ระบุถึงการนำสมุนไพรมาใช้งานว่า ต้องปรุงขึ้นตามสูตรยานั้น ๆ  ซึ่งสรรพคุณของว่านชักมดลูกที่มีบันทึกตามตำรับยาแผนโบราณเมื่อหลายร้อยปี ก่อน ได้ระบุถึงผลการนำมาบำบัดอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายไว้ว่า- ช่วยกระชับช่องคลอดภายในสตรี- ทำให้มีอารมณ์ทางเพศสมบูรณ์- ดับกลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นภายในช่องคลอดให้ลดลงหรือหายไป- ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าขาวนวล และมีเลือดฝาด- ทำให้มดลูกต่ำและ อาการตกขาวดีขึ้น- ช่วยรักษาอาการหน่วงเสียวมดลูก หรือเจ็บท้องน้อยเป็นประจำได้ดี- ช่วยรักษาอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง- มีผลในการลดหน้าท้องที่หย่อนยาน ซึ่งเกิดจากการคลอดบุตร ทำให้หน้าท้องหดตัว และเล็กลง- เสริมสร้างทรวงอกให้เต่งตึง กระชับ ไม่เหี่ยวย่น หย่อนยาน วิธีการใช้ว่านชักมดลูกตามตำรายาโบราณ ได้มีบันทึกไว้ตามตำรายาแผนโบราณของไทย ซึ่งเท่าที่ค้นพบจะมีวิธีการใช้ดังนี้- ให้นำหัวว่านชักมดลูกมาฝนกับเหล้าดื่มแก้ปวดมดลูกหรือใช้ปรุงเป็นยาต้ม แก้มดลูกพิการปวดบวม ทำให้มดลูกรัดตัวเล็กลง เรียกว่า มดลูกเข้าอู่สำหรับสตรีที่คลอดบุตรใหม่ ๆ นำหัวว่านสดมารับประทานแก้โรคลำไส้ หรือใช้หัวว่านชักมดลูกตำเป็นผงกินกับน้ำร้อน แก้ริดสีดวงทวารชนิดกลีบมะไฟและเดือยไก่- การใช้ว่านชักมดลูก เพื่อรักษาอาการมดลูกพิการปวดบวมที่บริเวณมดลูก หรือเป็นมุตกิตระดูขาว มีวิธีการใช้ดังนี้ คือ ให้นำหัวว่านชักมดลูกไปฝานเป็นชิ้น ๆ จากนั้นนำไปปิ้งหรือย่างไฟให้แห้ง แล้วนำมาดองกับเหล้าสกัดสักสองสามวัน ดื่มวันละสองเวลาก่อนอาหาร จะช่วยบำบัดอาการทั้งหลายเหล่านั้น ให้สิ้นไป หรือหากแท้งลูกใหม่ ๆ ก็ให้รับประทานว่านชักมดลูกนี้กับเหล้าหรือน้ำปูนใส อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จะหายไปได้- สำหรับท่านชาย หากเป็นกษัย ปัสสาวะขุ่นข้อง เบาแดง เบาเหลือง หรือขุ่นข้น เบาหวาน จะแก้ให้หายได้ โดยดื่มน้ำดองหัวว่านเป็นระยะเวลาสม่ำเสมอ ก็จะปราศจากอาการ ดังกล่าวได้- หากนำหัวว่านมาโขลกกับเหล้าขาว 40 ดีกรี กรองเอาแต่น้ำดื่ม จะช่วยรักษาผู้ชายที่เป็นไส้เลื่อน กระบังลมเคลื่อนได้ นอกจากนี้ยังใช้หัวว่านสดมารับประทานแก้โรคริดสีดวงทวารได้ โดยตำให้แหลกผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือจะดื่มกับน้ำร้อนก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ข้อควรระวังคือ ขณะที่รับประทานว่านชักมดลูกนี้ ห้ามรับประทานของคาวจัดหรือมันเลี่ยนจนเกินไป เพราะจะทำให้ตัวยาอ่อนฤทธิ์ลงได้ การใช้ว่านชักมดลูกสำหรับสตรี แบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ- ระยะแรก ซึ่งเป็นระยะที่เริ่มมีประจำเดือน จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตตามลักษณะของผู้หญิงที่ควรจะเป็น เช่น ไม่มีอาการปวดประจำเดือน ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส หน้าอกเต่งตึงตามวัย ช่วยรักษาอาการตกขาวที่ผิดปกติ และทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น- ระยะที่สอง วัยแต่งงานหรือมีบุตรแล้ว จะช่วยทำให้อารมณ์ทางเพศสมบูรณ์ขึ้น ช่องคลอดกระชับ หน้าอกเต่งตึงอยู่เสมอ หน้าท้องไม่ลายหลังจากการคลอดบุตร นอกจากนี้ยังช่วยทำให้อารมณ์จิตใจแจ่มใสสดชื่น ช่วยดับกลิ่นไม่พึงปรารถนา และลบรอยเหี่ยวย่นตามร่างกายทั่วไปได้ดี- ระยะที่สาม หรือระยะเริ่มเข้าสู่วัยทอง คือหลังจากอายุ 45 ปีขึ้นไป ว่านชักมดลูกจะช่วยไม่ให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด มึนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาการร้อนวูบวาบ ปวดเนื้อ ปวดหัว อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย จิตใจห่อเหี่ยวซึมเศร้า ท้อแท้ ความจำเสื่อม นอนหลับยาก เวลาร่วมเพศไม่มีอารมณ์ น้ำหล่อลื่นไม่มี อาการเหล่านี้ตามตำรายาโบราณได้มีบันทึกไว้ว่าว่านชักมดลูกสามารถช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ นี้ได้ ว่านชักมดลูกสำหรับสาวประเภทสอง จากบันทึกตามตำรายาแผนโบราณกล่าวไว้ว่าสมุนไพรว่านชักมดลูกสามารถใช้ได้กับคนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายหรือแม้แต่คนที่มีความผิดปกติทางเพศ เช่น กลุ่มคนที่เรียกว่า ทอม หรือ กระเทย ก็สามารถใช้ว่านชักมดลูกมาเสริมสร้างร่างกายให้สดใสแข็งแรงได้เช่นกัน โดยคุณประโยชน์ที่จะได้รับก็คือ- ทำให้ร่างกายแข็งแรง นวล สดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล- กลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นอับในที่ต่าง ๆ จะหายไปโดยไม่ต้องใช้น้ำหอมต่าง ๆ มาช่วย- อารมณ์ทางเพศที่ไม่สมบูรณ์ จะกลับมาสมบูรณ์เช่นเดิม- อารมณ์ฉุนเฉียว หรืออ่อนไหวง่าย จะเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดี เข้มแข็งขึ้น- สิว ฝ้า บนใบหน้าหรือร่างกาย จะจางลงและค่อย หมดไป  
  
โทรปรึกษา  08-99371691  
                     

สมุนไพรกวาวเครือแดงกับโรคเก๊าต์


สมุนไพรกับโรคเก้าต์

 
สมุนไพร  กวาวเครือแดง
  ตาม ตำรายาไทยระบุว่ากวาวเครือแดงสามารถใช้เป็นยาบำรุงกำลังและเชื่อว่าสามารถ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้ และจากการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดกวาวเครือแดงในหนูแรทเพศผู้พบว่ากลุ่มที่ได้ รับสารสกัดกวาวเครือแดง อวัยวะเพศแข็งตัวนานขึ้น ความยาวขององคชาตและปริมาณอสุจิเพิ่มขึ้นส่งผลให้หนูแรทมีพฤติกรรมการสืบ พันธุ์เพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มีรายงานว่า กวาวเครือแดงมีฤทธิ์เป็น testosterone
    นอกจากนี้การศึกษาในระยะยาวและการใช้ปริมาณสารสกัดที่มากขึ้นกลับพบว่าทำให้ ระดับของฮอร์โมนเพศชาย(testosterone)ของหนูแรทลดลง และทำให้ค่าเอนไซม์ในตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าการรับประทานกวาวเครือแดงในระยะยาวและในขนาดที่ มากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อตับได้
     ส่วนการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครเพศชายที่มีประวัติว่ามีอาการหย่อน สมรรถภาพทางเพศอย่างน้อยหกเดือน พบว่าการรับประทานในขนาด 250 มก./แคปซูล วันละ 4 เม็ด เป็นเวลา 3 เดือน ทำให้สมรรถภาพทางเพศดีขึ้นและยังไม่พบความผิดปกติจากการกินในขนาดดังกล่าว คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในจุลสารข้อมูลสมุนไพรฉบับที่28(1)

กวาวเครือแดงกับโรคเก้าต์

โรคเก๊าต์ ชื่อนี้เรียกตามฝรั่ง เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่า GOUT คือ โรคปวดตามข้อต่อกระดูก ข้อนิ้ว ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก เป็นปุ่มเป็นปมและเจ็บปวดมาก โรคชนิดนี้แต่ก่อนพวกเราไม่ค่อยพบเห็นกัน จึงไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย แต่เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ไปทางไหนก็เจอ และมีคนป่วยประเภทยาสมัยใหม่ที่ใช้รักษาโรคนี้ให้หายขาดไม่มี หาหนังสือที่เขียนขายกันในท้องตลาดเกี่ยวกับโรคเก๊าต์ ท่านบอกเพียงว่าเกิดจากการมีกรดยูริคสะสมที่ข้อต่อจึงทำให้เกิดโรคนี้และ บอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้มีแต่รักษาให้บรรเทาความเจ็บปวด 
 และต้องระวังรักษาเรื่องอาหารการกิน อย่ากินอาหารที่มีไขมันและโปรตีนมาก เพราะร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดยูริคซึ่งจะไปสะสมเพิ่มในข้อต่อทั้งปวง แล้วทำให้เกิดการเจ็บปวดขึ้นมาอีก จึงทำให้คนเป็นโรคนี้ต้องอดกินอาหารที่ถูกปากถูกคอ
โรค นี้จะเกิดกับผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไป เป็นส่วนมาก มีผู้หญิงเป็นกันบ้างไม่มากนัก ผู้ป่วยโรคนี้ก็จะป่วยเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพ
ทางเพศ โรคนิ่ว โรคเบาหวาน ความดันสูง และหัวใจ ค่อยทยอยตามกันมาก่อนบ้างหลังบ้าง ต้นเหตุของมันเกิดจากไตเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานจึงไม่สามารถขับกรดยูริคและ ไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ การจะรักษาโรคนี้จึงต้องรักษาฟื้นฟูให้ไตกลับมีสมรรถภาพเหมือนเดิม โรคเก๊าต์ก็จะหายขาดได้ แต่ในขณะที่ไตมีพลังขึ้นมาขับล้างกรดที่สะสมในข้อต่อต่าง ๆ ผู้ป่วยจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นเหมือนโรคกำเริบประมาณไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ถ้ากรดยูริคตามข้อลดลงอยู่ขั้นปกติเมื่อไรโรคก็หายเมื่อนั้น ถ้าผู้ป่วยพยายามกินยาหรืออาหารบำรุงรักษาไตให้ดีโรคเก๊าต์ก็จะไม่เกิดขึ้น อีก และสามารถรับประทานอาหารที่ถูกปากได้ทุกชนิด และไม่ต้องกลัวโรคไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่พึงระวัง อย่าดื่มสุราเมรัยบ่อยนัก เพราะไตจะเสื่อมอีก
การ จะรักษาฟื้นฟูไตให้กลับมีสมรรถภาพดุจเดิมนั้นทางแพทย์ แผนใหม่ไม่มียา นอกจากเปลี่ยนไตโดยเอาไตเทียมหรือไตคนตายมาเปลี่ยนให้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก ทางแพทย์จีนเขาเก่ง เขามียารักษาโรคไตเสื่อม ไตวาย และมียาฟื้นฟูบำรุงไตให้กลับฟื้นเป็นปกติ ยาบำรุงที่เขาใช้คือเขากวางอ่อน นำมาขูดให้เป็นฝอยกินทุกวันไตก็จะฟื้นสภาพขึ้นมา เพราะในเขากวางอ่อนนั้นมีฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นตัวรักษาฟื้นฟูสภาพไตให้แข็ง แรงดุจเดิม แต่เขากวางอ่อนที่เขาใช้กันนั้นเป็นเขากวางจากถิ่นหนาวจัดเช่นไซบีเรียเป็น ต้น จึงจะมีฮอร์โมนเพศสูง สามารถใช้ได้ดี ถ้าเป็นเขากวางในเขตร้อนจะได้ผลช้า แต่เขากวางอ่อนดังกล่าวก็แพงเกินที่คนธรรมดา ๆ อย่างเราจะซื้อมากินได้
สมุนไพร ไทยรักษาได้ โชคดีที่ประเทศไทยเรามีสมุนไพรหลากหลายชนิดเคยทดลองให้ผู้ป่วยโรคไตวายขั้น บวมทั้งตัวและนิมนต์พระมาให้ศีล เพื่อเตรียมตัวตายกินสมุนไพรกวาวเครือแดงก็กลับมีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับจนหาย เป็นปกติ และผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดเลี้ยงหัวใจกินสมุนไพรกวาวเครือแดงก็มีอาการดี ขึ้น ตามลำดับจนหายเป็นปกติ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์กินสมุนไพรชนิดนี้ก็หายเป็นปกติมาหลายคนแล้ว แต่ช่วงที่ไตขับกรดยูริกออกจากข้อนั้นจะทำให้เจ็บปวดทรมานมาก ผู้ป่วยต้องอดทนเพื่อจะได้หายอย่างยั่งยืน และท่านควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันสัก 6 เดือน ไตของท่านก็จะกลับแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ต่อจากนั้นอะไร ๆ ที่มันเคยเสื่อมถอยหรือหดหายไปก็จะกลับมาหาท่านอีกครั้ง โบราณท่านจึงว่ากินสมุนไพรกวาวเครือแดงแล้วจะกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง ลดการดื่ม เบียร์ สุรา ของดอง ของหมัก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก อาหารทะเล อื่นๆ ที่มีสารพิวลีนสูงๆ

 


สนใจสมุนไพรกวาวเครือแดง 
 
โทร   0899371691    0819541900


                       

สมุนไพรกวาวเครือ แดง กวาวเครือขาว เครือดำ

บทความ
  
กวาวเครือ ยอดสมุนไพรไทย



กวาวเครือขาว [Puraria mirifica Airy Shaw Suvatabandhu



เป็นไม้เถาตระกูลถั่ว มีลักษณะเถาและใบคล้ายถั่วแปบและถั่วพลู ออกดอกเป็นช่อฉัตรสีม่วงสวยงาม ทิ้งใบออกดอกราวเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ จากนั้นจะให้ฝักเล็กแข็ง มีขนแข็ง คล้ายฝักถั่วแระ แต่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อฝักแก่และแห้งก็จะแตกกระจายเมล็ดลงสู่พื้น เพื่อแพร่พันธุ์ต่อไป

เมื่อขุดที่โคนต้น จะพบรากซอนไซไปทั่วทิศทาง แต่ละต้นมีรากมากบ้าง น้อยบ้าง  เมื่อ ขุดตามรากก็จะพบหัวอยู่ปลายราก หัวกลมบ้างยาวรีบ้าง แล้วแต่พันธุ์ ขนาดเล็กใหญ่ขึ้นอยู่กับอายุและดินที่ขึ้น อายุยิ่งมาก หัวก็ยิ่งโตและมีโอสถสารมาก

กวาวเครือแต่ละพื้นที่ให้โอสถสารที่แตก ต่างกัน และความที่มีหลากหลายพันธุ์ บางพันธุ์ก็เป็นพิษ ทำให้ผู้บริโภคคลื่นเหียรอาเจียน ลำไส้บวม และถึงแก่ชีวิตได้ การแสวงหากวาวเครือจึงต้องอาศัยความชำนาญในการดูเถาและใบ เมื่อชำนาญแล้ว ถึงแม้พบแต่โคนต้นก็แยกแยะออกว่าเป็นกวาวเครือชนิดใด

เมื่อขุดได้หัวกวาวเครือขึ้นมาแล้ว ให้ล้างเอาดินออก แล้วปอกเอาเปลือกออกก่อน จากนั้นฝานให้บาง ตากแดดไว้ 3-4 วันก็แห้งกรอบ นำมาตำหรือบดให้เป็นผงละเอียด กรองด้วยตะแกรงเบอร์ 10 จะได้ผงกวาวเครือละเอียดอ่อนสามารถนำไปผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ดลูกกลอนขนาดลูกมะแว้ง หรือจะผสมกับกระสายยาชนิดอื่น ๆ ที่บ่งไว้ในตำราโบราณก็ได้ การผสมกับกระสายแต่ละชนิดก็ให้ผลที่แตกต่างกันบ้าง

สรรพคุณโดยรวมแล้ว ทำให้กินได้ นอนหลับ ขับถ่ายสะดวก หายจากอาการปวดเมื่อยอ่อนเพลีย บำรุงผิวพรรณบำรุงกระดูกบำรุงเลือดบำรุงประสาท บำรุงสมอง บำรุงทรวงอกให้โตและเต่งตึง สะโพกขยาย เป็นยาอายุวัฒนะ หากรับประทานประจำจะทำให้รูปร่างอ่อนกว่าวัยจริง อายุยั่งยืน ปราศจากโรคทั้งปวง ทำให้สายตาสว่าง อาจรักษาอาการตาบอดบางประเภทได้ ซึ่งมีผู้รับประทานได้ผล และรายงานให้ทราบมาแล้ว สตรีที่มีบุตรยากบางท่านกินแล้วกลับมีบุตรง่ายขึ้น

ผลข้างเคียง เมื่อรับประทานได้ไม่กี่วันจะรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัด ให้อาบน้ำ หรือกินยาฟ้าทะลายโจรก็หาย ไม่ต้องหยุดยา คนที่เป็นโรคชนิดใด โรคชนิดนั้นก็กำเริบขึ้นก่อน เรียกว่าอาการขับโรค เพียง 2-3 วันอาการที่เป็นก็หายไปพร้อมกับโรคที่เคยเป็น ในสตรีจะรู้สึกปวดถ่วงที่ท้องน้อยเนื่องเพราะมดลูกขยายตัว จะมีอาการคัดที่หน้าอกเหมือนสาวรุ่นแตกพาน หัวนมจะดำคล้ำคล้ายสตรีมีครรภ์ เป็นอยู่ครึ่งปี ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ประจำเดือนอาจคลาดเคลื่อนไปมา คนที่มาไม่ปกติก็อาจมีประจำเดือนมาอย่างสม่ำ

เสมอ แตกต่างกันไปแต่ละคน ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางร่างกายของแต่ละคน แต่คนสูงอายุที่ประจำเดือนหมดไปนานแล้ว เมื่อรับประทานยานี้จะกลับมีประจำเดือนเหมือนหญิงสาว แต่มาเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น อย่าได้ตื่นตกใจจนวิ่งไปหาสูติแพทย์เพื่อตรวจภายใน ในบุรุษจะทำให้อกโตเหมือนหญิงสาว ความรู้สึกทางเพศจะลดลง แต่ไม่ได้หายไป และไม่ได้ทำให้อวัยวะเพศหดหายดุจที่ร่ำลือกัน

ใครควรกินกวาวเครือขาว สตรีอกเล็ก กะเทย สตรีที่ขาดฮอร์โมน สตรีที่

หมดประจำเดือน สตรีผิวพรรณเศร้าหมอง คนผอมอยากอ้วนท้วนสมบูรณ์

ใครไม่ควรกินกวาวเครือขาว สตรีมีครรภ์ คนป่วยมะเร็ง ต่อมไทรอยด์โต

เนื้องอก เด็กหนุ่มสาวที่สมบูรณ์อยู่แล้ว 

กวาวขาว หัวใหญ่ หนัก 1.5 กก. โทร 0899371691

วิธีใช้ ในสตรีให้รับประทานหลังประจำเดือนหยุดแล้ว ครั้งละ 2 เม็ด ก่อนอาหารเช้า-เย็น เมื่อประจำเดือนมาควรหยุดยา ถ้าต้องการให้อกโตควรเพิ่มยาขึ้นมื้อละ 1 เม็ด ในแต่ละเดือน แต่ไม่ควรเกินมื้อละ 5 เม็ด (วันละ 10 เม็ด)

ในสตรีวัยทองขึ้นไปควรทานครั้งละ 2 เม็ดเท่านั้นพอ ถ้ากลัวมีประจำเดือนควรทานสลับกับกวาวเครือแดงเช่น ทานชนิดขาว 2 อาทิตย์ ชนิดแดง 2 อาทิตย์ สำหรับกะเทยรับประทานได้มากตามต้องการ



กวาวเครือแดง


กวาวเครือแดง [Butea superba Roxb’]

เป็นไม้เถายืนต้นขนาดใหญ่ อายุยิ่งมากเถาจะใหญ่จนกลายเป็นต้น แต่ยังส่งเถาเลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ มีลักษณะใบคล้ายใบต้นทองกวาว แต่ใบใหญ่กว่ามาก ถ้าใบอ่อนจะใหญ่ขนาดใบพลวงหรือใบต้นสัก สามารถใช้เป็นใบตองห่อข้าวได้ ถ้าใช้มีดฟันที่เปลือกต้นหรือเปลือกราก จะมียางสีแดงสดดุจเลือดไหลออกมา

ถ้าขุดที่โคนต้น จะพบรากใหญ่ขนาดลำน่องลำขา เลื้อยออกจากต้นโดยรอบ ยาวขนาดวา- 2 วา ขึ้นอยู่กับอายุของต้น ใช้รากทำยา

กวาวเครือแดงมีมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันตกของไทย ตั้งแต่ชายแดนไทย-พม่า ติดต่อกันจนถึงภาคเหนือของไทย ส่วนมากชอบขึ้นบนภูเขาสูง จะสังเกตได้ง่ายช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ กวาวเครือแดงจะออกดอกสีส้มเหมือนดอกทองกวาวทุกประการ บานสะพรั่งบนยอดดอยทางภาคเหนือ แต่ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายนัก คือมองหาได้ง่าย แต่มีไม่มากดุจชนิดขาว ส่วนชนิดขาวมีมาก แต่ถ้าไม่เก่งจริงก็หาของจริงได้ยาก

เพราะมีพันธุ์ไม้ที่เหมือนกันหลายชนิด อาจนึกว่าเป็นกวาวเครือขาวก็ได้

กวาวเครือแดง มีสรรพคุณไปทางบำรุงกำลังแบบโสมแต่เหนือกว่าโสมอยู่มาก คาดว่ามีฮอร์โมนเพศชายอยู่มาก จึงเป็นกวาวเครือตัวผู้ เก่งทางบำรุงสมรรถภาพทางเพศ และสามารถรักษาโรคเส้นเลือดตีบตันได้ดี จึงรักษาโรคหัวใจบางชนิดได้ เพราะสามารถทำลายไขมันในเลือดได้ แต่ความที่กระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้น การสูบฉีดโลหิตจึงแรง ส่งผลให้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยความดันสูง

มีรายงานจากผู้รับประทานประจำว่า ทำให้น้ำหนักลดลง พุงลดลง กำลังแข็งแรง ทำงานหนักได้โดยไม่รู้เหนื่อย บำรุงประสาท บำรุงสมอง ยับยั้งอาการผมร่วงได้ดี บางท่านรายงานว่ามีผมงอกเพิ่มมากขึ้น ดีกับผู้ป่วยโรคเก๋าต์ กวาวเครือแดงนี้ยังไม่ได้รับการวิจัยจากวง การแพทย์อย่างจริงจัง แต่ผลจากการใช้ของหมอพื้นบ้านมาแต่โบราณนับว่าได้ผลดียิ่ง ถ้าได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐให้ดีรับรองว่าสามารถเป็นสินค้าส่งออกขึ้น ชื่อของไทย สามารถต่อกรกับโสมเกาหลีได้อย่างสบาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ถูกสื่อต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำลายชื่อเสียงเสียจนไม่มีชิ้นดี โอกาสที่สมุนไพรตัวนี้จะสร้างรายได้ให้กับประเทศจึงเป็นไปได้ยาก คนไทยเราที่ตื่นข่าวก็คงต้องวิ่งเข้าหาโสมซึ่งมีราคาแพงลิบลิ่วเหมือนเดิม

วิธีใช้ ใช้หัวใต้ดิน นำมาปอกเปลือก แล้วฝานตากแห้ง นำมาบดผงเช่นเดียวกับกวาวเครือขาว เวลาปรุงและรับประทานก็เช่นเดียวกับกวาวเครือขาว เพียงแต่ใช้ในบุรุษเพศ หรือสตรีเพศที่กลัวจะมีประจำเดือน หรือผู้มีความรู้สึกทางเพศเสื่อมถอยทั้งบุรุษและสตรี ในตำราโบราณให้รับประทานขนาดเม็ดพริกไทย แต่จากประสบการณ์แล้วไม่ได้ผล ต้องทานวันละ 2 เม็ด (1000 มก.)ขึ้นไป ผู้เขียนทานวันละไม่ต่ำกว่า 10 เม็ด ไม่เห็นก่อทุกข์โทษอะไร นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรงดี ภูมิต้านทานสูง ใครจะเจ็บจะป่วยก็ป่วยไปก่อน หมอเมืองเป็นทีหลังและหายก่อนทุกที 
กวาวเครือดำ

กวาวเครือชนิดนี้หาได้ยากในเมืองไทย หมอเมืองต้องสั่งจากพม่า โดยคนไทยที่อยู่ชายแดนนำมาให้ สนนราคาก็สูงพอสมควรทีเดียว แต่เมื่อทดลองใช้ดูแล้วนับว่าสรรพคุณสูงตามตำราว่าจริง ตำราโบราณกล่าวว่า กวาวเครือดำมีลำต้นและเถาคล้ายแดง แต่ใบเล็กกว่า เถาอ่อนนุ่ม มีหัวไม่มากนัก หัวเล็กขนาดมันสำปะหลัง แต่นิยมใช้เถาเพราะหาง่ายกว่า แต่สรรพคุณก็ดีเหมือนใช้หัว สมัยก่อนชาวเขาบนดอยตุง เมื่อผู้หญิงคลอดบุตรแล้วก็ไปตัดเอาเถากวาวเครือดำมาต้มให้กิน ผ่านไปเพียง 2-3 วันก็สามารถไปทำงานได้ตามปกติ ไม่มีการอยู่เรือนไฟเหมือนคนไทย คุณลุงที่หากวาวเครือดำให้หมอเมืองเล่าให้ฟังเช่นนี้ ท่านรับประทานมา 20 กว่าปีแล้ว ยังแข็งแรงเช่นคนหนุ่ม ความรู้สึกทางเพศเหมือนคนหนุ่ม และท่านว่ามันทำให้อวัยวะเพศขยายตัวขึ้นราว 1-2 กระเบียด หมอเมืองก็ไม่รู้ว่ามันขนาดไหน วิธีใช้ รับประทานก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ 2 เม็ด คนหนุ่มที่กำลังแข็งแรงไม่ควรใช้


ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
งานวิจัยเกี่ยวกับกวาวเครือส่วนใหญ่เน้นไปที่การศึกษาผลคล้ายฮอร์โมน estrogen ของสมุนไพรหรือสิ่งสกัดจากสมุนไพรชนิดนี้ ซึ่งผลการทดลองเกือบทั้งหมดเป็นการศึกษาในสัตว์ทดลอง ยังมีการศึกษาในมนุษย์น้อยมาก งานวิจัยในช่วงแรกๆมุ่งไปที่การศึกษาฤทธิ์ของสาร miroestrol ซึ่งพบว่าในสัตว์ทดลอง สารนี้มีฤทธิ์ประมาณ 2 ใน 3 ของ stilbestrolเมื่อทดลองให้หนูถีบจักรที่ยังไม่โตเต็มที่กินสารนี้เข้าไป และมีฤทธิ์ราว 70% ของสาร 17b-estradiol เมื่อให้โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูขาว แต่เมื่อให้โดยวิธีเดียวกันนี้กับหนูถีบจักร พบว่ามีฤทธิ์เป็น 2.2 เท่าของสาร estrone ผลการทดลองในสตรีที่ประจำเดือนไม่มาตามปกติ 10 คน โดยให้สารนี้ในขนาด 1 และ 5 มก. วันละ 6 ครั้ง พบว่าสารนี้แสดงฤทธิ์เป็น estrogen อย่างรุนแรง โดยแสดงผล 2-3 สัปดาห์หลังจากเริ่มให้สารนี้ และในบางกรณีสามารถทำให้ประจำเดือนมาหลังจากหยุดให้สาร 7-18 วัน อาการข้างเคียงที่พบส่วนใหญ่ ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการทรวงอกขยายใหญ่ขึ้น และอาการจะเห็นได้ชัดเมื่อใช้ขนาดที่สูงภายหลังมีการพบสารกลุ่ม isoflavones หลายตัวได้แก่ genistein, daidzein รวมทั้งglycosides ของสารนี้ในหัวกวาวเครือขาว ซึ่งสารเหล่านี้จัดได้ว่าเป็น phytoestrogens ซึ่งแสดงฤทธิ์ในลักษณะของฮอร์โมนเพศหญิงได้เช่นกัน
   สนใจ ปรึกษาโทร  0899371691  
 
กวาวเครือแดง
      เป็น สมุนไพรไทยที่ใช้กันมาอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศจีน เกาหลี มีสรรพคุณในการเพิ่มปริมาณ เสปิร์ม(น้ำอสุจิ) เพิ่มฮอร์โมนเพศชาย เพิ่มสมรรถภาพทางเพศให้กับท่านชาย  กวาวเครือแดงช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต  แก้ปัญหาความไม่สมดุลย์ทางเพศของครอบครัว ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ตับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
  การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของท่านชายมีหลายสาเหตุ ได้แก่ การเสื่อมของร่างกาย การเป็นโรคร้ายต่างๆ เช่นมะเร้ง เบาหวาน เก๊าท์ โรคประสาทหรือรับประทานสุรา ยาเสพติดบางชนิดมากเกินไป ส่วนที่ไม่พบสาเหตุ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล ความผิดหวังหรือตรากตรำงานหนัก ที่กล่าวมานี้อาจแก้ไขได้ด้วยสมุนไพรบำรุงร่างกาย และช่วยกระตุ้นให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้นเหมือนได้ความเป็นหนุ่มกลับคืนมาอีก ครั้
 
โทร   0899371691
 

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความทุกข์ที่เกิดจากโรค ไม่มีโรคจึงเป็นลาภอันประเสริฐ

#โรคข้อและรูมาติซั่ม
รูมาติซั่มคืออะไร?
รูมาติซั่ม เป็นกลุ่มที่มีการเสื่อม การอักเสบ หรือมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อ เกี่ยวพันของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อ เอ็น กล้ามเนื้อ และกระดูก ในผู้ป่วยบางราย อาจเป็นเฉพาะที่ เช่น เท้าพลิก เท้าแพลง แต่ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร เพราะเมื่อรักษาอาการตรงนั้นแล้วก็หาย แต่ถ้าโรคบางอย่าง เริ่มต้นด้วยปวดข้อ แต่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ข้อ แต่มีอาการอักเสบของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย หรือโรคที่เรารู้จักกันดีคือ โรคลูปัส ซึ่งเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง คือ ร่างกายสร้างสารมาต่อต้านตัวเอง เพราะฉะนั้น จะเป็นได้ทั่วร่างกายแล้วแต่ว่า จะสร้างสารต่อต้านที่จุดไหน ถ้าไปต่อต้านเม็ดเลือดแดง จะทำให้เกิดอาการซีด ถ้าต่อต้านเม็ดเลือดขาว ก็จะทำให้ภูมิต้านทานต่ำ และติดเชื้อง่าย
ข้ออักเสบคืออะไร?
ข้ออักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของข้อ ซึ่งจะมีอาการและอาการแสดงคือ ปวด บวม แดงร้อน และมีการสูญเสีย หน้าที่การทำงานของข้อ กลุ่มโรคข้ออักเสบนี้อาจมีอาการ หรืออาการแสดงในระบบอื่นๆ ของร่างกายได้ด้วย เช่น ผิวหนัง ตา ปาก ไต ปอด และระบบเลือด เป็นต้น
โรคข้ออักเสบ สามารถเป็นได้ทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก หนุ่ม สาว ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่ลักษณะการกระจาย ของโรคข้ออักเสบแต่ละชนิด ในแต่ละกลุ่มอาการแตกต่างกันไป โรคข้ออักเสบส่วนใหญ่จะเป็นเรื้อรัง ข้ออักเสบบางชนิด อาจเป็นไปตลอดชีวิตของผู้ป่วย ในขณะที่บางรายข้ออักเสบ อาจมีลักษณะเป็นๆ หายๆ และข้ออักเสบบางชนิด สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยทั่วไป เราจะสามารถควบคุมอาการของโรคได้ ในปัจจุบัน มีโรคข้ออักเสบเพียงไม่กี่ชนิด ที่เราทราบสาเหตุของโรคชัดเจน เช่น โรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อ โรคเกาต์ ส่วนโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นๆ เรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่การศึกษาในปัจจุบันพบว่า โรคเหล่านี้ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ประกอบกับปฏิกิริยาจากสิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อไวรัส ฯลฯ
สัญญาณอันตรายของข้ออักเสบ?
มีข้อบวม อาการฝืด ขัดเป็นเวลานานในตอนเช้า มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ ในข้อหนึ่งข้อใด ไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อได้เป็นปรกติ มีอาการแดงหรือร้อนบริเวณข้อ มีไข้ น้ำหนักลด หรืออ่อนแรง และมีอาการต่างๆ ที่กล่าวมานานกว่า 2 สัปดาห์
การรักษา?
การดูแลรักษาโรคข้ออักเสบ ประกอบไปด้วยการรักษาหลายฝ่าย เริ่มต้นด้วยการให้ยา เพื่อลดการอักเสบของข้อ และควบคุมโรคให้สงบ การดูแลและระวังในการใช้ข้อและป้องกันข้อ โดยการปฏิบัติตนให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความสมดุลที่ถูกต้อง ระหว่างการพักและการออกกำลังกาย การพักการใช้งานของข้อ ที่กำลังอักเสบอย่างมาก จะช่วยให้อาการอักเสบน้อยลง การบริหารร่างกาย เพื่อให้ข้อมีการเคลื่อนไหวได้มากที่สุด และเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ ถ้าไม่เคลื่อนไหวข้อเลย ข้อจะติดและกล้ามเนื้อจะลีบ การรักษาทางกายภาพบำบัด ด้วยความร้อนและความเย็น เพื่อช่วยลดความเจ็บปวด การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อต้องทำงานมากกว่าปรกติ และเป็นการผ่อนแรงที่กระทำต่อข้อ และการผ่าตัดแก้ไข จะใช้ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น หรือกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมาก หรือการรักษาทางยาไม่ได้ผล
ในการรักษาทางยา จะใช้ยาระงับการอักเสบ ในบางโรคของกลุ่มโรคข้อและรูมาติซั่ม อาจต้องใช้ยาหลายขนาน และให้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มียารักษาถึง 4 กลุ่มด้วยกัน คือ 


1.
ยาแก้ปวด (analgesic) อาจใช้พวกยาพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดที่ผสมกับยาคลายกล้ามเนื้อ ในรายที่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อร่วมด้วย หรือพาราเซตามอลที่ผสมโคเดอีน (codeine) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก บางรายมีอาการเวียนศีรษะได้ 

2.
ยาต้านการอักเสบ ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (nonsteroidal antiinflammatory drugs) กลุ่มแรกที่ใช้คือ แอสไพริน แต่ต้องใช้จำนวนมาก 10-12 เม็ด/วัน ระยะหลังมียากลุ่มนี้ออกมามากมายหลายตัว ยากลุ่มนี้ อาจมีผลระคายเคืองกระเพาะอาหาร และบางรายอาจมีอาการหอบหืด เลือดออกไม่หยุดหลังการผ่าตัด จึงจำเป็นต้องหยุดยาก่อนผ่าตัด 

3.
ยาต้านรูมาติ ซั่มที่ปรับเปลี่ยน ตามการดำเนินของโรค (disease modifying antirheumatic drugs; DMARD) เป็นยากลุ่มที่ยับยั้ง หรือหยุดการอักเสบของโรค ลดการทำลายของข้อและกระดูก เป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า อาจใช้เวลา 3-6 เดือนจึงจะเห็นผล และจำเป็นต้องใช้เป็นระยะเวลายาวนาน จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษา ติดตามด้วยการตรวจเลือด และปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงกลุ่มยาเหล่านี้ ได้แก่ กลุ่มยารักษามาลาเรีย สารเกลือทอง ซัลฟาซาลาซีน เมทโธเทรกเซท 

4.
ยาสเตียรอยด์ จะทำให้อาการต่างๆ ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้มีการยับยั้งของโรค ดังนั้น อาจเกิดผลข้างเคียง ถ้าใช้ในขนาดสูง เช่น กระดูกพรุน ต้อกระจก โรคติดเชื้อ ในรายที่เหมาะสม แพทย์อาจใช้ฉีดเข้าข้อ หรือใช้รับประทาน 2.5-5 มก. ต่อวันในระยะแรกที่ให้การรักษา หรือจำเป็นต้องให้ในรายที่เกิดเส้นเลือดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปอดอักเสบ
ทั้งนี้ การให้ยาแก่คนไข้ แพทย์จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักว่า ผลดีผลเสียของยาด้วย เพราะยาแต่ละตัวให้ผลต่างกัน
การปรับตัวของผู้ป่วยให้เข้ากับโรคข้ออักเสบ
แม้ว่าแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ จะเป็นผู้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคข้ออักเสบก็ตาม แต่บุคคลสำคัญที่สุดในการรักษา คือ ตัวผู้ป่วยเอง ผู้ป่วยควรจะรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ได้รับการออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และรู้จักการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ ในการป้องกันไม่ให้ข้อต้องทำงานมากเกินปรกติ ผู้ป่วยควรเข้าใจในโรคของตนเอง และควรรีบปรึกษาแพทย์เมื่อมีปัญหา นอกจากนี้ญาติพี่น้องก็มีส่วนช่วยอย่างยิ่ง ในการให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย การปรึกษากับแพทย์ พยาบาล เพื่อนและญาติพี่น้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจโรคข้ออักเสบได้ดียิ่งขึ้น และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
เครื่องมือ ARTHROSCOPE กล้องส่องเพื่อตรวจ และรักษาโรคข้อ
ARTHROSCOPE คือ เครื่องมือแพทย์ชนิดหนึ่ง เป็นกล้องส่องขยาย ใช้ใส่เข้าไปในข้อ โดยการเจาะรู ผ่านผิวหนังเข้าไป เพื่อใช้ในการวินิจฉัย และสามารถผ่าตัด รักษาโรคบางโรคของข้อต่างๆ ในร่างกายได้ โดยไม่ต้องมีแผลใหญ่ ช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วกว่า วิธีผ่าตัดแบบทั่วๆ ไป
อย่างไรก็ตาม คนไข้ควรจะต้องเข้าใจด้วยว่า ถ้าการสึกหรอของผิวข้อ เกิดจากความชรา หรือเข่าเสื่อม หรือกระดูกผิวข้อแตกจากอุบัติเหตุ แม้ว่าตรวจพบได้ด้วยกล้อง แต่ก็ไม่สามารถผ่าตัดด้วยกล้องได้เสมอไป ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นรักษา แล้วแต่กรณีตามความเหมาะสม
แหล่งข้อมูล : วารสารโรงพยาบาลรามคำแหง - www.ram-hosp.co.th/books