|
เข้าชมร่วมแสดงความคิดเห็น ส่งบทความด้วยกัน ร่วมสร้างสหกรณ์ของเราให้รุ่งเรือง โอกาสที่ดีมาถึงคุณแล้ว ขอเชิญสมัครเป็นสมาชิกและร่วมธุรกิจแบบพอเพียงกับเรา
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555
สมุนไพร : ปัญจขันธ์
สมุนไพร : พูลคาว
สมุนไพร : พูลคาว
![]() | การใช้สมุนไพรพลูคาวเพื่อเป็นยารักษาโรค พลูคาวเป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้ในประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย และประเทศไทยทางภาคเหนือ ใช้สมุนไพรพลูคาวเพื่อลดไข้ ขจัดสารพิษ รักษาแผลในกระเพาะอาหารและรักษาอาการอักเสบ (Chang H, and But P. 1986 Pharmacology and application of Chinese Materia Medica, World Scientific, Singapore) |
ในประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคเหนือใช้พลูคาวแก้กามโรค ทำให้น้ำเหลืองแห้ง แผลแห้ง แก้เข้าข้อ แก้โรคผิวหนัง แก้อาการบวมน้ำ ฝีอักเสบ ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ ไอ บิด โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และแก้ริดสีดวงทวาร (สมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ 2510. ประมวลสรรพคุณยาไทยภาคสอง หน้า 314-315. นันทวัน บุญยะประภัสสร และอรนุช โชคชัยเจริญพร. 2542 สมุนไพรไม้พื้นบ้าน(3) บริษัท ประชาชน จำกัด กรุงเทพฯ หน้า 304) คำแนะนำ พลูคาวไม่ควรใช้มาเป็นยารักษาโรคไตหรือขับปัสสาวะเป็นอันขาด (ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต โดย ดร.สาทิส อินทรกำแหง) มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชของสมุนไพรพลูคาวในต่างประเทศหลายเรื่อง
มีการจดสิทธิบัตรในประเทศจีน ซึ่งเป็นสิทธิบัตรยารักษามะเร็งที่มีสมุนไพรพลูคาวเป็นส่วนประกอบดังนี้คือ
|
เอกสารอ้างอิง :
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง http://www.siamCA.com
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง http://www.siamCA.com
สนใจโ ทรสอบถาม ปรึกษาที่ 0899371691 0819541900
สมุนไพร ใบบัวบก
สมุนไพร : ใบบัวบก
เอกสารอ้างอิง : http://www.manager.co.th/qol/viewNews.asp?newsid=4759613930582 |
สมุนไพร ขมิ้นชัน
สมุนไพร : ขมิ้นชัน
![]() | ขมิ้นชัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma loga Linn., Curcuma domestica Valeton. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง | ||||||||||||||||||||||||||
ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้
กินขมิ้นชันให้เป็นอาหาร ใช้ปรุงอาหารกิน ทอดปลาคลุกขมิ้นชันก็ดี ทำให้หอมน่ากินและยังได้ประโยชน์อีกด้วย เพราะตัวขมิ้นชันจะช่วยย่อยไขมันจากน้ำมันที่ใช้ทอดปลาได้บางส่วน ถ้ากินขมิ้นชันสดๆ ต้องปอกเปลือกก่อน แต่ถ้าทำขมิ้นชันบดเป็นผงต้องนำขมิ้นชันมาต้มน้ำให้เดือดสักพักหนึ่ง แล้วตักออกนำมาผึ่งให้เย็นหั่นเป็นแว่นเล็กๆ ตากแดดจนแห้ง อาจจะตากหลายครั้ง แล้วถึงจะนำมาบดให้เป็นผง ถ้าใช้เครื่องอบให้ขมิ้นชันแห้ง ความร้อนควรไม่เกิน 65 องศา ถ้าความร้อนเกินอาจเกิดสารสเตรอยด์ได้ กินขมิ้นชันให้ตรงเวลาที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเปิดการทำงานในช่วงเวลานั้น จะได้ผลตรงประเด็นที่ต้องการจะบำรุง หรือแก้ไขฟื้นฟูของระบบของอวัยวะ กินเพียง 1 แคปซูลเท่านั้น จะออกฤทธิ์มากกว่าเวลาอื่นถึง 40 เท่าตัว แต่ถ้ามีปัญหาหลายอย่างก็กินครั้งละ 1 แคปซูล ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้ากินในจำนวนมาก ส่วนที่เหลือจะไปขับไขมันในตับ นาฬิกาชีวิต (ความสัมพันธ์ของอวัยวะกับเวลา)
กินขมิ้นชันตามเวลาต่อไปนี้จะได้ผลโดยตรงกับอวัยวะส่วนนั้น ( เวลา 03.00 - 05.00 น. ) ช่วยบำรุงปอด ป้องกันการเป็นมะเร็งปอด ช่วยทำให้ปอดแข็งแรง ช่วยเรื่องภูมิแพ้ของจมูกที่หายใจไม่สะดวก และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง ( เวลา 05.00 - 07.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่ ถ้าเคยกินยาถ่ายมาเป็นเวลานาน ให้กินขมิ้นชันในเวลานี้ ขมิ้นชันจะฟื้นฟูปลายประสาทของสำไส้ใหญ่ ต้องกินเป็นประจำ ถึงจะทำให้ลำไส้ใหญ่บีบรัดตัวเพื่อขับถ่ายอย่างปกติ แก้ไขปัญหาลำไส้ใหญ่กลืนลำไส้เล็ก หรือลำไส้ใหญ่มีปัญหาถ่ายมากเกินไปหรือถ่ายน้อยเกินไป แต่ถ้าลำไส้ใหญ่ไม่มีปัญหา ให้กินขมิ้นชันพร้อมกับสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว หรือนำอุ่นก็ได้ จะไปช่วยล้างผนังลำไส้ที่มีหนวดเป็นขนเล็กๆอยู่เป็นล้านๆเส้น ซึ่งขนเหล่านี้มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารเพื่อไปสร้างเม็ดเลือด ขมิ้นชันจะช่วยล้างให้สะอาดได้ ก็จะไม่ค่อยมีขยะตกค้าง จึงไม่เกิดแก๊สพิษที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว และจะไม่ค่อยเป็นริดสีดวงทวาร ไม่เป็นมะเร็งลำไส้ ( เวลา07.00 - 09.000 น. ) ช่วยแก้ปัญหาเรื่องกระเพาะอาหาร เกิดจากการกินข้าวไม่เป็นเวลา ท้องอืด จุกแน่น ปวดเข่า ขาตึง ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความจำเสื่อม ( เวลา 09.00 - 11.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเสีย มีแผลในปาก อ้วนเกินไปผอมเกินไปที่เกี่ยวข้องกับม้าม ลดอาการเป็นเก๊าต์ ลดอาการเบาหวาน ( เวลา 11.00 -13.00 น. ) ใครมีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือไม่มี ก็กินขมิ้นชันเวลานี้ จะช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ถ้าเลย 11.00 น. ไปแล้ว ขมิ้นชันจะไปทำงานที่ตับแล้วตับจะส่งมาที่ปอด ปอดจะส่งไปที่ผิวหนัง แต่ส่วนมากมาไม่ถึงเพราะกินขมิ้นชันน้อยเกินไป ( เวลา 13.00 - 15.00 น. ) ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปวดท้องบ่อย เพราะมีไขมันเกาะลำไส้เล็ก ไขมันที่เคลือบลำไส้จะเคลือบขยะเอาไว้ด้วยแล้วสะสมกัน ทำให้เกิดแก๊ส และมีอาการปวดท้องตอนบ่ายในช่วงเวลานี้ ถ้ากินสูตรโยเกิต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว และขมิ้นชัน จะช่วยล้างลำไส้เล็กได้ดีที่สุด สูตรโยเกิตนี้ตัวจุลินทรีย์จะช่วยเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 เพื่อส่งไปเลี้ยงสมองต่อไป ( เวลา 15.00 - 17.00 น. ) ช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง แก้ปัญหาเรื่องตกขาวของสตรี และควรกินน้ำกระชายเวลานี้ด้วย จะช่วยดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออกจะดีมาก เพราะร่างกายต้องการขับสารพิษให้ได้มากที่สุดในเวลานี้ กินเลยเวลาจากช่วงนี้จนไปถึงการกินก่อนนอน ขมิ้นชันจะไปช่วยเรื่องความจำให้ความจำดี ตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้าจะไม่ค่อยเพลีย และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น การกินขมิ้นชันมากจะช่วยขับไล่ไรฝุ่นที่ผิวหนังไม่ให้เป็นผดผื่นคันง่ายๆ และช่วยขับไขมันในตับ ถ้ากินในปริมาณมาก การกินขมิ้นชัน แบบผงหรือบรรจุแคปซูล ควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่มีมาตรฐานและสะอาดเชื่อถือได้ ไร้สารเคมีไม่มีสเตอรอย์ที่เกิดจากการอบแห้งด้วยความร้อนเกิน 65 องศา ควรตัดสินใจเอง เพราะเราจะต้องกินทุกวัน ก็ควรกินให้ปลอดภัยและสบายใจ ถ้ากินขมิ้นชัน แบบผง 1 ช้อนชา ใช้ผสมน้ำ 1 แก้ว(ไม่เต็ม) ขมิ้นชันจะไหลผ่านส่วนต่างๆ ตั้งแต่
|
เอกสารอ้างอิง :
จากหนังสือ กินเป็น ลืมป่วย ล้างพิษในร่างกาย
จากหนังสือ กินเป็น ลืมป่วย ล้างพิษในร่างกาย
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555
สมุนไพรเถาวัลเปรียง สธ.สั่งผลิตนำมาใช้รักษา
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ | |||||||||||||||||
|
สมุนไพรจีน เกาหลี โสม
โสม (Ginsing)
เป็นสมุนไพรที่ใช้กันในแถบเอเชียมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว เดิมมีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือของจีน เกาหลี และไซบีเรีย ในตำรับเภสัชของจีนได้กล่าวถึงสรรพคุณของรากโสม
ว่าช่วยทำให้อวัยวะภายในเป็นปกติ สงบ ไม่มีอารมณ์หวั่นไหว ฟุ้งซ่าน ทำให้สุขภาพดี ทำให้
ตาแจ่มใส จิตใจแช่มชื่น เพิ่มความฉลาด ในประเทศไทยมีผู้นิยมรับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย
บำรุงกำลัง นับเป็นสมุนไพรที่มีราคาแพง
โสมที่มีการศึกษาวิจัยองค์ประกอบทางเคมี และนำมาใช้กัน มากที่สุดมี 2 ชนิด คือ โสมเอเชีย
ซึ่งนิยมเรียกว่า โสมจีน หรือโสมเกาหลีนั่นเอง และอีกชนิดคือโสมอเมริกัน โดยเฉพาะในประเทศจีน
ความต้องการของตลาดสูงมาก และมีการปลูกมาก เนื่องจากเชื่อว่าการเกิดโรคต่างๆ มีสาเหตุจาก
ความไม่สมดุลของของหยิน และหยาง และการใช้โสมสามารถปรับสมดุลร่างกายได้ ในประเทศจีน
มีการใช้โสมทั้ง 2 ชนิด สำหรับโสมอเมริกัน มีสมบัติเป็นยาเย็น (yin) และโสมจีนมีสมบัติเป็นหยาง
(yang) หรือยาร้อน ปกติโสมเป็นพืชที่เจริญเติบโตช้า มีความสูงของต้นเพียง 60-80 เซนติเมตร
เท่านั้น และต้องรอนานถึง 6 ปี จึงจะได้รากโสมที่มีสารสำคัญทางยาในปริมาณสูงสุด
สรรพคุณของโสม
จากการศึกษาวิจัยพบว่าโสมมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง ที่สำคัญๆ ได้แก่
1) เพิ่มสมรรถนะในการทำงานของร่างกายให้สูงขึ้น เนื่องจากโสมมีสรรพคุณในการต้านความ
เมื่อยล้า (anti-fatigue effect) จากกลไกร่วมกันหลายอย่าง เช่น การเพิ่มการดูดซึมออกซิเจนของ
ผนังเซล เซลจึงสามารถสร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นโสมยังช่วยปรับ
การเต้นของหัวใจ ให้กลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น ร่างกายจึงเหนื่อยช้าลง มีความอดทนต่อการทำงาน
มากขึ้น ซึ่งช่วยทำให้ผู้สูงอายุมีสมรรถภาพการทำงานของร่างกายดีขึ้น และช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพ
ของผู้ป่วยในระหว่างพักฟื้น ให้หายเจ็บป่วย เป็นปกติได้เร็วขึ้น และเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื่อกันว่าโสมมี
สรรพคุณกระตุ้นสมรรถนะทางเพศ ทั้งนี้มีรายงานว่าโสมมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดด้วย
2) คุณสมบัติต่อต้านความเครียด (anti-stress effect) โดยจะช่วยปรับร่างกาย และจิตใจ ให้ทนต่อ
ความกดดันจากภายนอก โดยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่มีผลป้องกัน และลดความเครียดจากต่อม
ใต้สมอง และช่วยคลายความวิตกกังวล
3) กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง มีผลให้รู้สึกมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า โดยไม่ทำให้เกิดการอ่อนเพลีย
หรืออ่อนล้าตามมา เหมือนยาที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางอื่นๆ โดยพบว่าซาโปนินจาก
โสมเมื่อให้ในขนาดน้อยๆ จะมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง แต่เมื่อให้ในขนาดสูงๆจะมีฤทธิ์
กดประสาท ดังนั้นควรรับประทานในขนาดที่พอเหมาะนะคะ มิเช่นนั้นอาจได้ผลตรงกันข้าม
4) เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแบบไม่เฉพาะเจาะจง มีรายงานว่า
เพิ่มเม็ดเลือดขาวบางชนิดจึงเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม
5) มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน มาควบคุมระดับน้ำตาล
ในเลือดให้เป็นปกติ
6) ชะลอความแก่ เนื่องจากโสมมีฤทธิ์ทำลายอนุมูลอิสระของออกซิเจนที่เกิดจากการทำลายไขมัน
(lipid oxidation) อนุมูลอิสระนี้มีอนุภาพทำลายเนื้อเยื่อต่างๆ ให้เสื่อมสลายลงก่อนเวลาอันควร
ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลทำให้เกิด "ชราภาพ (aging)" เนื่องจากผลของโสมในการปรับสภาพร่างกาย
และจิตใจให้ทนต่อความกดดัน เชื่อว่าช่วยเสริมฤทธิ์กันทำให้โสมมีสรรพคุณ "ชะลอความชรา" ได้
แอล-อาร์จินีน
Arginine มีสูตรเคมี C6 H14 N4 O2 เป็นกรดอะมิโนชนิดเบส (basic amino acid) สามารถรับ
โปรตอนได้ที่ pH เป็นกลาง ใช้สังเคราะห์เป็นยูเรียได้
กรดอะมิโนและนิวคลีโอไทด์ เป็นสารตั้งต้นที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีน โดยจะถูกสร้างขึ้นในอัตรา
ที่น้อยมากให้เพียงพอกับความต้องการเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกรณีของสารพวกคาร์โบฮัยเดรท
และไขมัน ซึ่งสามารถสังเคราะห์จนเกินพอ แล้วเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้
ร่างกายเราสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนได้ 10 ชนิด จากทั้งหมด 20 ชนิด กลุ่มที่สร้างได้เองนี้
จัดเรียกเป็นกรดอะมิโนไม่จำเป็น (non–essential amino acid) ส่วนอีก 10 ชนิดที่จำต้องได้รับจาก
อาหาร เรียกว่ากรดอะมิโนจำเป็น (essential amino acid) ได้แก่ Ile, Leu, Lys, Met, Phe, ThR,
Trp, Val, His และ Arg (อาร์จินีน) (แต่บางตำราจัดให้อาร์จินีน เป็นกรดอะมิโน ไม่จำเป็นก็มี)
บทบาท / กลไกการออกฤทธิ์
อาร์จินีน ใช้สร้างไนตริค ออกไซด์ (nitric oxide) โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ nitric oxide
synthase ทำปฏิกิริยา deamination ผลของการเกิดไนตริค ออกไซด์ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว
(vasodilate)
โดยเมื่อ acetyl choline ถูกหลั่งจากปลายเซลล์ประสาทมาที่ผนังหลอดเลือดจะกระตุ้นให้
endothelial cellsสร้างไนตริค ออกไซด์ จากกรดอะมิโนแอล อาร์จินีน (L–arginine) ซึ่งจะซึมผ่าน
ผนังเซลล์ออกมาที่เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ที่อยู่ใกล้เคียง แล้วแพร่ผ่านผนังเซลล์ของเซลล์กล้ามเนื้อ
เรียบเข้าไปจับกับอะตอมของเหล็กที่เอนไซม์ guanylyl cyclase ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเรียบผลิต
cGMP สูงขึ้น นำไปสู่การคลายตัวของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ มีผลให้หลอดเลือดขยายตัว
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า อาร์จินีนเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของไนตริคออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวขยายหลอดเลือด
โดยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ guanylyl cyclase ในเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ทำให้มีระดับ
cGMP สูงขึ้น เกิดการคลายตัวของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ ส่งผลให้หลอดเลือดขยายได้
อีกทั้งควบคุมการคืนตัว ใช้น้ำตาลในกระแสเลือด
เมื่อกล้ามเนื้อเรียบในหลอดเลือดขององคชาติคลายตัว ส่งผลให้หลอดเลือดขยาย
เลือดก็ไหลเวียนได้มากขึ้น เมื่อหลอดเลือดขยาย ผลตามมาคืออวัยวะพองขยาย และแข็งตัวขึ้น
ประโยชน์
อาร์จินีน จึงถูกใช้รักษาโรค ED (หย่อนสมรรถภาพทางเพศ) และยังช่วยลดความดันเลือด ได้อีกทาง
หนึ่งในแง่เปรียบเทียบกับยารักษา ED แอลอาร์จินีน เป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า จากการที่มันช่วยให้
หลอดเลือดในองคชาติผ่อนคลาย เกิดการแข็งตัวแบบธรรมชาติ
มีงานวิจัยที่มีอาร์จินีน, กิงโก, โสมเกาหลี, โสมอเมริกัน และไวตามินเกลือแร่ จากชาย 21 คน
ที่เป็น ED ในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง พบว่า 88.9% มีการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้นานขึ้น
และ 78% รู้สึกได้ถึงผลของเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น
โคเลสเตอรอลนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด พบว่าอาร์จินีนมีแนวโน้มช่วยลดการจับตัวของ
เกล็ดเลือด และลดการไปเกาะที่ผนังหลอดเลือด ดังนั้นจึงช่วยป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็น
ลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของหัวใจพิบัติ และหลอดเลือดในสมองแตก/ตีบ โดยขยายหลอดเลือด
และลดความดันเลือด อาร์จินีนจึงมีประโยชน์ ต่อผู้ที่โคเลสเตอรอลสูง เพราะเกล็ดเลือดของ
คนกลุ่มนี้จะข้นกว่าผู้ที่ระดับโคเลสเตอรอลปกติ
สมุนไพรรักษาโรค ลูกใต้ใบ
ลูกใต้ใบ
ไวรัสตับ เจริญอาหาร
ข้อควรระวัง สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะลูกใต้ใบเป็นขาขับประจำเดือน
ข้อควรระวัง สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะลูกใต้ใบเป็นขาขับประจำเดือน
ด้านงานวิจัย
1. สารสกัดลูกใต้ใบยืดอายุหนูที่เป็นมะเร็งตับ โดยให้หนูขาวที่เป็นมะเร็งตับกินสารเอน-ไนโตรโซไดเอทิลเอมีนนาน 20 สัปดาห์แล้วให้สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิบลูกใต้ใบในขนาด 150มก/กก. น้ำหนักตัวนาน54 สัปดาห์ หรือจนสัตว์ทดลองตายพบว่าสารสกัดลูกใต้ใบสามารถยืดอายุสัตว์ทดลองที่เป็น มะเร็งตับอายุเฉลี่ย52.2+2.3 สัปดาห์ ในขณะที่สัตว์ทดลองกลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัดมีอายุเฉลี่ย 33.7+1.6 สัปดาห์ สารสกัดลูกใต้ใบยังมีผลลดค่าทางชีวเคมีอื่น ๆ เช่นลดระดับเอนไซม์แกมม่ากลูตามิล ทรานสเปปทิเดสในซีรัม ลดระดับเอนไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานสเฟอร์เรสและลดระดับสารกลูตาไทโอนในเนื้อเยื่อตับ
ที่มา:หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
1. สารสกัดลูกใต้ใบยืดอายุหนูที่เป็นมะเร็งตับ โดยให้หนูขาวที่เป็นมะเร็งตับกินสารเอน-ไนโตรโซไดเอทิลเอมีนนาน 20 สัปดาห์แล้วให้สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิบลูกใต้ใบในขนาด 150มก/กก. น้ำหนักตัวนาน54 สัปดาห์ หรือจนสัตว์ทดลองตายพบว่าสารสกัดลูกใต้ใบสามารถยืดอายุสัตว์ทดลองที่เป็น มะเร็งตับอายุเฉลี่ย52.2+2.3 สัปดาห์ ในขณะที่สัตว์ทดลองกลุ่มที่ไม่ได้รับสารสกัดมีอายุเฉลี่ย 33.7+1.6 สัปดาห์ สารสกัดลูกใต้ใบยังมีผลลดค่าทางชีวเคมีอื่น ๆ เช่นลดระดับเอนไซม์แกมม่ากลูตามิล ทรานสเปปทิเดสในซีรัม ลดระดับเอนไซม์กลูตาไธโอน เอส-ทรานสเฟอร์เรสและลดระดับสารกลูตาไทโอนในเนื้อเยื่อตับ
ที่มา:หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2.การ ลดลองใช้ยาสมุนไพรรักษาไวรัสตับอักเสบการทดลองนี้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะ แพทย์จากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกาและคณะแพทย์อิเดียแห่งเมืองมีคราสได้ศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรกว่า 1,000 ชนิด ในการสังเคราะห์สารดีเอ็นเอที่จำเป็นในการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ที่มีในร่างกายผู้ป่วย จากการทดลองพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบหรือมะขามป้อมดิน มีฤทธิ์สูงสุด การทดลองทางคลินิคในมีคราสทําโดยการใช้แคปซูลยา 200 มก.ให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี 37 คน วันละครั้งเป็นเวลา 30 วันติดต่อกัน พร้อมกับให้ยาหลอกเป็นน้ำตาลแล็กโทส23 คน หลังจากนั้นเจาะเลือดผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วย 22 คน (ร้อยละ 59) ไม่มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกเพียง 1 คนที่ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดและหลังติดตามผลการรักษาต่อ 9 เดือนพบว่าผู้ป่วยทั้ง 22 คน ยังคงตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือดต่อไป แพทย์พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแต่ไม่ได้ผลนั้นเกิดจากผู้ป่วยกลุ่มนั้น เพิ่งได้รับเชื้อไวรัสใหม่ ๆ จึงมีเชื้อไวรัสจำนวนมากเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จึงควรให้ยาในขนาดที่สูงขึ้นอีก การใช้ลูกใต้ใบในการรักษาอาการดีซ่านได้กล่าวไว้ในตำรายาอายุรเวท อินเดียนานกว่า 2000 ปีแล้วและสารสกัดจากพืชนี้ได้มีการใช้รักษาอาการดีซ่านในประเทศจีน ฟิลิปปินส์ คิวบา ไนจีเรีย กวม แอฟริกาตะวันออกและตะวันตก อเมริกาใต้และอเมริกากลาง
ที่มา : Herbal drug succeed in hepatitis triais. Far East Health 2531, 11:8) ร.ศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์
ที่มา : Herbal drug succeed in hepatitis triais. Far East Health 2531, 11:8) ร.ศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์
ลูกใต้ใบ?
สมุนไพร แก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ปวดเมื่อย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ตากแห้งพกติดกาย ชงเป็นชายามเดินธุดงค์เพื่อใช้แก้ไข้
สมุนไพร แก้ไข้ แก้อักเสบ แก้ปวดเมื่อย ลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรที่พระธุดงค์ตากแห้งพกติดกาย ชงเป็นชายามเดินธุดงค์เพื่อใช้แก้ไข้ที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ อาทิ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้จากการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ไข้จากอ่อนเพลีย ไข้จับสั่น รวมทั้งแก้ท้องเสียได้ดีนัก ชาวบ้านในหลายพื้นที่นิยมตากลูกใต้ใบให้แห้งเก็บใส่โหลไว้ชงเป็นชากินเพื่อ แก้ไข้ แก้ปวดข้อ แก้อักเสบ แก้ปวด มีรายงานการวิจัยพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ในการแก้ไข้ แก้อักเสบได้ สอดคล้องกับการใช้ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน
ลูก ใต้ใบ?สมุนไพรบำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบสร้างความสมดุลของไขมันในตับ หมอยาคนจีนเชื่อว่าถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออก จากตับ มีผลทําให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายๆ กับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีความเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทําลายจากสารพิษ เช่น เหล้า รักษาอาการอักเสบของตับทั้งประเภทเฉียบพลันและเรื้อรัง ลูกใต้ใบยังช่วยปรับไขมันในตับให้เป็นปกติ
ลูก ใต้ใบยังเหมาะที่จะใช้ทําเป็นชาสมุนไพรให้กับคนไข้ที่เป็นมะเร็งตับ เพราะมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่า น้ำต้มของลูกใต้ใบทําให้หนูที่เป็นมะเร็งตับมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยกลไกที่ทําให้เซลล์มะเร็งเติบโตช้าลงแต่ไม่ได้ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง
ลูก ใต้ใบ?สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวานลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับ น้ำตาลในเลือดได้
ลูก ใต้ใบ?สมุนไพรของผู้ป่วยเบาหวานลูกใต้ใบ เป็นสมุนไพรยอดนิยมของผู้ป่วยเบาหวาน หมอยาและชาวบ้านในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย เชื่อว่าลูกใต้ใบเป็นสมุนไพรช่วยคุมระดับน้ำตาลในคนเป็นโรคเบาหวานได้ ซึ่งมีการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาพบว่าสารสกัดของลูกใต้ใบมีฤทธิ์ลดระดับ น้ำตาลในเลือดได้
ข้อ แนะนำ...สำหรับการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน หากจะใช้สมุนไพรต้องรับประทานยาแผนปัจจุบันตามคำสั่งแพทย์และมีการตรวจวัด ระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีรายงานที่แสดงให้เห็นว่าลูกใต้ใบช่วยเสริมฤทธิ์ของยาเบาหวาน
ลูกใต้ใบ?สมุนไพร ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว
หมอ ยาทั่วทุกภาคจะใช้ลูกใต้ใบในการเป็นยาขับนิ่วมีรายงานการศึกษาสมัยใหม่ว่า ลูกใต้ใบมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งมีประโยชน์ในการขับนิ่ว และลดความดัน ฤทธิ์ในการขับนิ่วนั้น มิใช่หมอยาพื้นบ้านไทยเท่านั้นที่รู้จักใช้ ในสเปน เรียกลูกใต้ใบว่า Chanca piedra มีความหมายว่า นักทุบหิน หรือทําให้หินเป็นชิ้นเล็กๆ (Stone breaker or Shatter stone) ในบราซิลเรียกลูกใต้ใบว่า Quebra-pedra หรือ Arranca-pedras ซึ่งมีความหมายในทํานองเดียวกัน หมอยาพื้นบ้านในแถบลุ่มน้ำอเมซอนนิยมใช้ลูกใต้ใบ ต้มกินในการรักษานิ่วทั้งนิ่วในถุงน้ำดีและนิ่วในไต มีรายงานการศึกษาพบว่าลูกใต้ใบมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและกำจัดนิ่ว
ลูก ใต้ใบ เป็นสมุนไพรที่จัดว่ามีการใช้กับระบบทางเดินปัสสาวะมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยมีการนำไปใช้รักษาอาการมีไข่ขาวในปัสสาวะ อาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดอาการบวม และขับกรดยูริคออกทางปัสสาวะ ซึ่งช่วยในคนเป็นโรคเก๊าท์
ที่มา : หน่วยปฏิบัติการวิจัยเคมีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
1. คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2548. งานจุฬาฯวิชาการ 48 :
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ปกป้องตับจากเอทานอล.
สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553. สืบค้นจาก
http://www.pharm.chula.ac.th/physiopharm/2548_sem2/group6.html
2. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทย ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. ลูกใต้ใบ.
สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553. สืบค้นจาก
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/medplantdatabase/search_herbal.asp
3. ไพร มัทธวรัตน์. หน่วยอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พืชพรรณ
ฝ่ายปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จ. นครปฐม
. ลูกใต้ใบ. สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2553. สืบค้นจาก http://clgc.rdi.ku.ac.th/index.php/rs/herb/112-phyllanthus
สนใจโทรสอบถามและปรึกษาได้ที่ 0899371691 0819541900
สนใจโทรสอบถามและปรึกษาได้ที่ 0899371691 0819541900
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)